หนนี้ครั้งที่ 4!ย้อนคู่ชิง ยูโรปา ลีก ที่มาจากชาติเดียวกัน

สารบัญ

แม้ว่าบางชาติจะได้สิทธิ์ส่งทีมลงเล่น ยูโรปา ลีก มากกว่า 1 ทีม แต่มันก็มีโอกาสน้อยมากๆ ที่ทีมจากชาติเดียวกันจะโคจรมาเจอกันเองได้ในนัดชิงชนะเลิศ โดยหากนับตั้งแต่ที่ ยูฟ่า คัฟ เปลี่ยนมาใช้ชื่อ ยูโรปา ลีก ในฤดูกาล 2009-10 เป็นต้นมา ซีซั่นนี้ก็ถือเป็นครั้งที่ 4 ที่คู่ชิงดำมาจากลีกเดียวกัน 

เราจะนั่งไทม์แมชชีนย้อนไปดูกันว่า 3 หนก่อนหน้านี้เกิดขึ้นตอนไหนบ้าง

ปลื้มปิติ!อันโตนี่ ร่ำไห้พา เบติส เข้าชิง คอนเฟอเรนซ์
ประวัติศาสตร์ต่างกัน!สโคลส์ เชื่อ แมนยู ดับ สเปอร์ส ซิวแชมป์ ยูโรปา
ผลงานลีกสวนทาง!แมนยู-สเปอร์ส จ่อเป็นแชมป์ ยูโรปา ด้วยอันดับแย่สุด

– ฤดูกาล 2018-19 : เชลซี พบ อาร์เซน่อล

 หลายคนอาจจะยังจำนัดชิงชนะเลิศครั้งนั้นได้ดี โดยทั้ง 2 ทีมทำผลงานได้ดีมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มแล้วเพราะต่างก็เป็นแชมป์ของกลุ่มของตัวเอง แถมยังเก็บได้ 16 คะแนนเท่ากันเป๊ะอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม พอถึงนัดชิงชนะเลิศแล้วนั้นกลายเป็น เชลซี ภายใต้การคุมทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่ทำผลงานได้เหนือกว่า อาร์เซน่อล ของ อูไน เอเมรี่ จนทำให้พลพรรค “สิงห์บลูส์” เอาชนะไป 4-1 จากประตูของ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ในนาทีที่ 49, เปโดร นาทีที่ 60 และ 2 ลูกของ เอแด็น อาซาร์ ในนาทีที่ 65 กับ 72 ส่วนประตูเดียวของ อาร์เซน่อล มาจาก อเล็กซ์ อิโวบี้ ในนาทีที่ 69

– ฤดูกาล 2011-12 : แอตเลติโก มาดริด พบ แอธเลติก บิลเบา

 แอต. มาดริด กับ บิลเบา เก็บได้ 13 คะแนนเท่ากันตอนเล่นในกลุ่มของตัวเอง รวมถึงเข้ารอบมาในฐานะแชมป์กลุ่มทั้งคู่ ซึ่งก่อนจะมาถึงนัดชิงดำนั้น “ตราหมี” เคยหักด่านทีมอย่าง ลาซิโอ ในรอบ 32 ทีมสุดท้าย กับ บาเลนเซีย ในรอบรองชนะเลิศด้วย ส่วนฝั่ง บิลเบา ต้องผ่าน แมนยูไนเต็ด ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในรอบตัดเลือก

นัดชิงดำครั้งนั้น แอต. มาดริด ของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ออกสตาร์ตได้อย่างร้อนแรงจนขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 7 จาก ราดาเมล ฟัลเกา ก่อนที่ ฟัลเกา จะทำลูกที่ 2 ในนาทีที่ 34 ทำให้ทีมของกุนซือ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า แทบหมดหวังที่จะกลับมาได้ และสุดท้าย “ตราหมี” ก็มาได้ลูกที่ 3 จาก ดีเอโก้ ในนาทีที่ 85 อีก จนทำให้พวกเขาคว้าแชมป์สมัยที่ 2 ด้วยชัยชนะ 3-0 ส่วน ฟัลเกา ก็ได้รางวัลดาวซัลโวสูงสุดของรายการพ่วงติดตัว ด้วยผลงาน 12 ลูก

– ฤดูกาล 2010-11 : ปอร์โต้ พบ บราก้า

 จุดเริ่มต้นของทั้งคู่ต่างกันนิดหน่อย หลังจาก ปอร์โต้ ออกสตาร์ตการเล่นรอบหลักของ ยูโรปา ลีก มาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มแล้ว ส่วน บราก้า เดิมทีซีซั่นนั้นพวกเขาได้เล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ในรอบแบ่งกลุ่ม แต่จบด้วยการเป็นเพียงอันดับ 3 จนต้องลงมาเล่นในถ้วย ยูโรปา ลีก

 ในรอบน็อกเอาต์นั้น ปอร์โต้ เก็บทีมอย่าง เซบีย่า ในรอบ 32 ทีมสุดท้าย และ บียาร์เรอัล ในรอบรองชนะเลิศได้ ส่วน บราก้า ก็ไม่เบา เพราะในรอบ 16 ทีมสุดท้ายพวกเขาผ่าน ลิเวอร์พูล มาได้ ขณะที่ในรอบตัดเชือกก็หักด่าน เบนฟิก้า ทีมใหญ่ร่วมลีกได้เลย

นัดชิงดำที่กรุงดับลินในครั้งนั้นถือว่าสูสีพอตัว ก่อนที่สุดท้าย ปอร์โต้ ของกุนซือ อันเดร วิลลาช-โบอาช จะเฉือนชนะไป 1-0 จากประตูของ ราดาเมล ฟัลเกา ในนาทีที่ 44 โดยที่ ฟัลเกา คว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดประจำทัวร์นาเมนต์ด้วย จากการซัดรวมไปถึง 17 ประตู

– เด็กเกร็ดบอล –

,

บริการ

tag:
กีฬาต่างประเทศ ข่าวกีฬา ตลาดนักเตะ ตารางบอล ตารางบอลวันนี้ ทีมชาติไทย นิวคาสเซิ่ล บอลวันนี้ บาร์เซโลน่า บาเยิร์น มิวนิค บุนเดสลีกา ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ปีศาจแดง ปืนใหญ่ ผลบอล ผลบอลเมื่อคืน ผีแดง พรีเมียร์ พรีเมียร์ลีก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฟุตบอลต่างประเทศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยูโรปา ลีก รูเบน อโมริม ลาลีกา ลาลีกา สเปน ลิเวอร์พูล วิเคราะห์บอล สเปอร์ส หงส์แดง อาร์เซน่อล อาร์เน่อ สล็อต เชลซี เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เปแอสเช เรอัล มาดริด แชมเปี้ยนส์ ลีก แมนซิตี้ แมนยู แมนยูไนเต็ด แมนฯ ยูไนเต็ด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โปรแกรมบอล โปรแกรมบอลวันนี้