ไรอัน กราเฟนแบร์ก โดดเด่นตลอดทั้งซีซั่นนับตั้งแต่ได้รับความไว้ใจให้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์หมายเลข 6 ส่วน โคดี้ กัคโป ก็เป็นคนสำคัญรองจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในเรื่องเกมรุก
และนี่คือเรื่องราวของ 4 คนดัตช์แห่งรั้ว แอนฟิลด์ ที่ The Athletic เดินทางไปทั่วประเทศเนเธอร์แลนด์ ตั้งแต่กรุงอัมสเตอร์ดัม ไปยัง ซโวลล์ และจาก ไฮนด์โฮเฟ่น ถึง เบรด้า เพื่อสืบเสาะความเป็นมาของพวกเขา พูดคุยกับคนที่มีบทบาทในการหล่อหลอม ก่อนจะมายิ่งใหญ่กับ ลิเวอร์พูล
ฟีร์มีโน่ ซึ้ง! ยินดี ลิเวอร์พูล ซิวแชมป์ลีก พร้อมส่งข้อความสุดอบอุ่นถึง ซาลาห์
ชี้ 4 ตัวเต็งบอลน่าเชียร์ 4 พ.ค. 68 : ทีเด็ดบอลวันนี้ ลิเวอร์พูลบุกถ้ำสิงห์, เลเวอร์คูเซ่นไม่ผ่อน
ฮีโร่อัล อาห์ลี! ฟีร์มีโน่ เบิ้ลแอสซิสต์คว้าแชมป์ ACL พร้อมหล่นคำซึ้งถึงแฟนบอล-เดอะ ค็อป
ไรอัน กราเฟนแบร์ก : อัมสเตอร์ดัม
“ผมเคยเห็น กราเฟนแบร์ก คนหนึ่งเคยทำแบบเดียวกัน ก่อนที่ ไรอัน จะเกิดเสียอีก”
ไมค์ คอล์ฟ เอนหลังบนเก้าอี้แล้วหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง
“ผมหัวเราะ เพราะผมรู้ว่าเขาจะหมุนตัวยังไง ปล่อยบอลกลิ้งผ่านตัวไปเท้าข้างถนัด สลัดจากสถานการณ์คับขันได้เพราะเขารู้ว่า -พื้นที่ว่าง- มันอยู่ตรงไหน”
บางครั้ง ผมดูเกม ลิเวอร์พูล อยู่ที่บ้าน แล้วโทรหาพ่อของ ไรอัน พอเขารับสาย เขาก็พูดว่า -ไมค์ ฉันรู้ว่าแกจะพูดอะไร!-“
“เหมือนดูฉบับก็อปปี้กันมาเลย พ่อของเขาเป็นมิดฟิลด์หมายเลข 10 ยุคเก่า แบบประมาณว่า -ส่งมาบอล เดี๋ยวชั้นจะจัดการเอง- ทุกวันนี้คนที่ทำหน้าที่แบบนั้นกลายเป็นหมายเลข 6 ซะแล้ว แต่ผมน่ะ ชอบดู ไรอัน เล่นมากจริง ๆ”
สถานที่สนทนา อยู่ในออฟฟิศของ คอล์ฟ ที่ Damsko Football Academy ตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟใจกลาง อัมสเตอร์ดัม ทางตะวันออกเฉียงใต้ออกไป 15 นาที
เหนือโต๊ะทำงานมีเสื้อแข่ง มาร์โก ฟาน บาสเท่น สมัยค้าแข้งกับ เอซี มิลาน พร้อมลายเซ็นที่ใส่กรอบไว้อย่างดี ส่วนด้านนอกประตู มีเสื้อ อาแจ็กซ์ ของ กราเฟนแบร์ก แขวนไว้อย่างภาคภูมิ
คอล์ฟ แบ่งเวลาทำงานระหว่างที่นี่กับสโมสรสมัครเล่นอย่าง AVV Zeeburgia ซึ่งเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายเยาวชนมาตั้งแต่ปี 1998
Zeeburgia มีชื่อเสียงโดดเด่นในเรื่องการพัฒนาเยาวชน และ กราเฟนแบร์ก คือหนึ่งในความภาคภูมิใจที่สุดของพวกเขา
“ตอนนี้เรามีเด็กอยู่ประมาณ 850 คนที่ Zeeburgia ตั้งแต่ 4 ขวบจนถึงรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี” เขาอธิบาย
“ตั้งแต่ช่วงปลายยุค 90 เรามีเด็กประมาณ 650 คนที่ได้ไปสังกัดสโมสรอาชีพ เราเป็นแหล่งป้อนหลักให้กับ อาแจ็กซ์ และเด็กส่วนใหญ่ก็ไปที่นั่น”
“ผมรู้จัก ไรอัน ตั้งแต่เขาเกิด เขาเริ่มต้นกับเราตอนอายุห้าขวบ เขาตัวใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เขาอยู่ที่นี่จนกระทั่งย้ายไป อาแจ็กซ์ ตอนอายุแปดขวบ”
คอล์ฟ กับพ่อของ ไรอัน เคยเล่นฟุตบอลสมัครเล่นด้วยกันมาใน อัมสเตอร์ดัม ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ครอบครัว กราเฟนแบร์ก อาศัยในย่าน วอเตอร์กราฟส์เมียร์ ย่านสงบ ๆ ไม่ไกลจาก Zeeburgia ซึ่ง ดานเซล พี่ชายของ ไรอัน ปัจจุบันเล่นให้ เดน บอช ทีมลีกรองของ เนเธอร์แลนด์ โดยเขาก็เติบโตมาจากสโมสรแห่งนี้เช่นกัน
“ในช่วงที่ลูก ๆ ยังเล็ก พ่อของเขามีอิทธิพลต่อลูก ๆ มาก เขาไม่เคยกดดันจนเกินไป” คอล์ฟ กล่าว
“เขาสอนให้ลูกมีวินัย ฝึกซ้อมสม่ำเสมอ, เคารพผู้อื่น สมัยที่เรายังเล่นด้วยกัน พ่อของเขาเก่งมาก แต่ชอบโดนเตะอยู่บ่อย ๆ ตอนนั้นสภาพสนามไม่ค่อยดี เขาเลยเจ็บเข่าหนัก”
“การเติบโตในแถบ อัมสเตอร์ดัมตะวันออก เป็นสิ่งที่ดีสำหรับ ไรอัน มีสนามให้เล่นเยอะ เด็ก ๆ ไม่ต้องติดอยู่แต่ในบ้านกับเครื่องเกมเพลย์สเตชั่น”
“ทุกวันนี้ เด็ก ๆ มีสิ่งล่อตาล่อใจมากมาย บางคนบอกว่าอยากเป็นนักฟุตบอล แต่กลับไปทำอย่างอื่น ไรอัน รักฟุตบอลจริง ๆ ถ้าหลังเกมมีคนชวนไปเตะต่ออีก เขาก็จะไปเตะต่อ เขากระหายมาก! ตอนอายุ 7 ขวบ เขาเล่นกับเด็กอายุ 9 ขวบ เขาแทบจะนอนกอดลูกฟุตบอลเลยด้วยซ้ำ”
“แม้จะย้ายไป อาแจ็กซ์ ไรอัน ก็ยังเล่นกับเด็กที่โตกว่าอยู่เสมอ ซึ่งช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้น เวลาที่เขาเล่นกับเด็กวัยเดียวกัน เกมมันง่ายเกินไปสำหรับเขาเลยล่ะ เขาฉลาด ใจเย็นเหมือนพ่อ ชอบส่งสั้นแล้ววิ่งไปรับในพื้นที่ว่าง ถ้ามีสองคนเข้ามาปิด เขาจะเปลี่ยนฝั่งเล่นเลย”
ตอน กราเฟนแบร์ก ถูกส่งลงสนามพบ พีเอสวี ในเดือนกันยายน 2018 ด้วยวัยเพียง 16 ปี 130 วัน เขากลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดของ อาแจ็กซ์ ที่ได้เล่นบนเวที เอเรดิวิซี่ ทำลายสถิติเดิมของ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ
อย่างไรก็ตาม เส้นทางของ กราเฟนแบร์ก ชะงักลงหลังย้ายไป บาเยิร์น มิวนิค ตอนเดือนมิถุนายน 2022
เขาได้ออกลงเล่นตัวจริงเพียง 3 นัดใน บุนเดสลีกา ฤดูกาล 2022/23 จากนั้นการผจญภัยในแคว้นบาวาเรีย ก็จบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อ ลิเวอร์พูล จ่ายเงิน 34 ล้านปอนด์เพื่อดึงเขามาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ปี 2023
“ผมไม่เคยกังวลเรื่อง ไรอัน เลย” คอล์ฟ ยืนยัน
“ผมไปเยี่ยมครอบครัวเขาที่ มิวนิค แล้วคุยกัน ผมรู้จักชาวเยอรมัน พวกเขาชอบกองกลางที่วิ่งไม่หยุด พ่อของเขาเคยบอกเขาเสมอว่า -จงคิดบวกไว้ เมื่อถึงเวลาที่คุณได้อยู่กับทีมที่เล่นฟุตบอลจริง ๆ คุณจะได้ลงสนามแน่นอน- แล้วดูตอนนี้สิ เขาร่วมกับ ฟาน ไดค์ และ ซาลาห์ เขาคือหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ฤดูกาลนี้”
หลัง ลิเวอร์พูล พลาดคว้าตัว มาร์ติน ซูบีเมนดี้ จาก เรอัล โซเซียดาด เมื่อซัมเมอร์ 2024 อาร์เน่อ จึงเลือกใช้ กราเฟนแบร์กในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรับ และมันกลายเป็นการตัดสินใจที่เฉียบขาด เพราะแข้งวัย 22 ปีรายนี้โชว์ฟอร์มเปล่งประกาย และจนถึงตอนนี้เขาออกสตาร์ททุกนัดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2024/25 แล้วฟอร์มระดับนี้ทำให้เขาพาตัวเองกลับมาติดทีมชาติเนเธอร์แลนด์ อีกครั้ง
“มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย เพราะตอน แฟรงกี้ เดอ ยอง ย้ายออกจาก อาแจ็กซ์ (ในปี 2019) ไรอัน ก็เล่นเป็นเบอร์ 6” คอล์ฟ กล่าว “
“อาร์เน่อ รู้ว่าเขาทำได้ ไรอัน ทำให้มันดูง่าย มันคือการอ่านเกมของเขาและการสร้างพื้นที่ให้ตัวเอง ผู้คนลืมไปว่าเขายังเด็ก เขาสามารถเล่นให้ทีมชาติฮอลแลนด์ ได้อีก 10 ปี และจะกลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศเรา”
“เมื่อก่อน ลิเวอร์พูล เต็มไปด้วยชาวสเปน แต่ตอนนี้กลายเป็นชาวดัตช์ มีแฟน ลิเวอร์พูล หน้าใหม่มากมายในประเทศนี้ สมัยผมเป็นเด็ก ผมเชียร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะทีม Busby Babes แล้วผมก็ไป ลิเวอร์พูล แล้วตกหลุมรักมัน ตอนนี้ ไรอัน อยู่ที่นั่น มันรู้สึกพิเศษมากที่ได้เห็นเด็กของเรา เด็กอัมสเตอร์ดัมของเรา เล่นที่นั่น”
“ลิเวอร์พูล จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และ ไรอัน คือส่วนสำคัญมากของความสำเร็จนี้”
เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา กราเฟนแบร์ก กลับไปเยี่ยม Zeeburgia เพื่อพบกับเด็ก ๆ ที่ใฝ่ฝันอยากเดินตามรอยเขา
“มันมีความหมายมาก ที่นี่จะเป็นบ้านของ ไรอัน เสมอ” คอล์ฟ กล่าวเสริม
“เขาเป็นแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ อย่างมาก ผมพูดถึง ไรอัน กับพวกเขาตลอด เด็กคนนี้ของเราก้าวไป อาแจ็กซ์, บาเยิร์น มิวนิค และตอนนี้คือ ลิเวอร์พูล ทุกคนภูมิใจมากในระดับที่เขาไปถึง”
อาร์เน่อ สล็อต : ซโวลล์
การเดินทางจาก อัมสเตอร์ดัม ไปทางตะวันออกด้วยรถไฟราว 100 กิโลเมตร และใช้เวลาเกินหนึ่งชั่วโมงนั้น จุดหมายปลายทางถึงคือเมืองซโวลล์ ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยุคกลางและกำแพงเมืองโบราณ
เมืองนี้เป็นอีกโลกใบหนึ่งที่แตกต่างจากความวุ่นวายของเมืองหลวง เนเธอร์แลนด์ อย่างสิ้นเชิง
ไม่ไกลนักจากสถานีรถไฟ เป็นที่ตั้งของโรงแรมหรู Bilderberg Grand Hotel Wientjes และมีชายผู้มีใบหน้าอันเป็นมิตรคนหนึ่งเดินเข้ามาในโซนบาร์ของโรงแรม
“คุณคงเป็นคนติดตามลิเวอร์พูลใช่ไหม!” เบน เฮนดริกส์ อดีตผู้จัดการทีม พีอีซี ซโวลล์ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หวังว่าคุณจะดูแล อาร์เน่อ ให้เราดีอยู่นะ”
ซโวลล์ คือเมืองที่ อาร์เน่อ เริ่มต้นและจบอาชีพนักฟุตบอลก่อนผันตัวเข้าสู่งานโค้ช และยังเป็นที่ที่เฮดโค้ช ลิเวอร์พูล กลับมาใช้เวลาร่วมกับภรรยา มิราม และลูก ๆ โยพ กับ อีซ่า เมื่อเขามีเวลาว่างจากงานใน เมอร์ซีย์ไซด์
บ้านทาวน์เฮาส์สไตล์ ศตวรรษที่ 19 ของพวกเขามีทัศนียภาพที่สวยงาม มองออกไปเห็นคลองสายหลักของเมือง
“ผมดื่มกาแฟกับ อาร์เน่อ ตอนที่เขามาที่นี่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน และเราก็ยังติดต่อกันทาง WhatsApp เป็นประจำ” เฮนดริกส์ กล่าว
“เขาเดินไปไหนมาไหนตามถนนในเมืองนี้ได้แบบสบาย ไม่มีใครมาขอถ่ายรูป บางคนอาจแค่ตะโกนว่า -เฮ้ อาร์เน่อ! แล้วเขาก็โบกมือกลับไป คนซโวลล์ก็เป็นแบบนี้ และเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่เรียบง่าย”
“ทุกคนดีใจกับเขามากจริง ๆ”
…
สายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนย้อนไปถึง 30 ปีก่อน เมื่อตอนที่ เฮนดริกส์ ให้โอกาสนักเตะวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชื่อ อาร์เน่อ ได้สัมผัสเกมฟุตบอลอาชีพเป็นครั้งแรกตอนช่วงกลางทศวรรษ 1990
โดยในขณะนั้น อาร์เน่อ เพิ่งย้ายมาเข้าร่วมอะคาเดมี่ ซโวลล์ ตอนอายุได้ 12 ขวบ หลังเข้าตาแมวมองตอนเล่นให้กับ วีวี เบอร์เกนไทม์ ในหมู่บ้านใกล้ชายแดนติดประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา
“มีสปอนเซอร์ใหญ่รายหนึ่ง เป็นบริษัทขนมปังจาก ซโวลล์ ที่สนับสนุนทั้ง ซโวลล์ และ เบอร์เกนไทม์ เราก็เลยไปแข่งเกมอุ่นเครื่องก่อนเปิดฤดูกาลที่นั่น อาร์เน่อ ตอนนั้นอายุแค่ 16 แต่เพราะเป็นบ้านเกิดของเขา ผมเลยคิดว่าน่าจะให้เขามีส่วนร่วมในเกมนั้น” เฮนดริกส์ วัย 78 ปี ซึ่งคุมทีม ซโวลล์ ระหว่างปี 1992 ถึง 1995 กล่าว
“ผมแต่งตั้งเขาเป็นกัปตันในวันนั้น พอจบเกม นักเตะที่โตกว่าที่ไม่ค่อยรู้จักเขาดีเท่าไหร่ก็พูดกันว่า -เขาสุดยอดมากสำหรับเด็กอายุ 16- อาร์เน่อ เป็นเบอร์ 10 ตัวจริง เขามองเกมได้ล่วงหน้าสองจังหวะ, อ่านเกมเก่ง, จ่ายบอลดี”
“เขาทำให้คนอื่นที่เก่งกว่า เล่นได้ง่ายขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นคุณสมบัติหนึ่งเหมือนกัน”
“หลังจากเกมนั้น เขาก็กลับไปอยู่กับทีมเยาวชน ก่อนจะได้ขึ้นทีมชุดใหญ่ภายใต้โค้ชคนต่อไป ผมรู้ตั้งแต่แรกว่า อาร์เน่อ จะไปได้ไกล เขามีทัศนคติที่ถูกต้อง ผมก็รู้จักกับ อาเรนด์ พ่อของเขาดี ซึ่งมีอิทธิพลต่อเขามาก”
“พ่อแม่ของ อาร์เน่อ เป็นคุณครู ทั้งคู่จึงปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัยมาตั้งแต่เด็ก ตอนยังเป็นวัยรุ่น อาร์เน่อ จะขี่จักรยานจาก เบอร์เกนไทม์ ไปยัง มาร์เรียนเบิร์ก แล้วก็นั่งรถไฟไป ซโวลล์ จากนั้นจะมีคนมารับไปที่โรงเรียนซึ่งอยู่หลังสนามฟุตบอล คือเขาทุ่มเทอย่างแท้จริง”
ทั้งสองคนกลับมาเจอกันอีกครั้งเมื่อ อาร์เน่อ หวนคืนสู่ ซโวลล์ ในช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง หลังเคยเล่นให้ เอ็นเอซี เบรด้า และ สปาร์ต้า ร็อตเตอร์ดัม
“คุณเคยเห็นมั้ยว่า อาร์เน่อ เคยทำอะไรตอนเริ่มเกม?” เฮนดริกส์ หัวเราะ
“คนที่นี่ชอบล้อกันว่า เขาจะกระดกบอลขึ้นแล้วก็ -zuuuuut!- (ทำท่ากระเด็นเหมือนจรวดทะยานขึ้น) เขาจะเตะบอลขึ้นฟ้าเลย”
แล้ว เฮนดริกส์ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดคลิปจาก YouTube ปี 2010 ที่แสดงให้เห็น อาร์เน่อ รับบอลในวงกลมกลางสนามแล้วซัดลูกบอลลอยขึ้นฟ้าทันที เพื่อนร่วมทีมก็วิ่งไล่ตามไป
“บางครั้งคู่แข่งอาจโดนแสงอาทิตย์แยงตาจนรับบอลไม่ได้ หรือบางทีก็เหมือนเป็นวิธีของเขาที่จะบอกว่า -อะ เอาไปเลย เราขอเก็บบอลสองนะ-“
“อาร์เน่อ คิดตลอดเวลา แม้แต่ตอนนอนเขาก็ยังคิดเรื่องฟุตบอล สมองมีแต่เรื่องฟุตบอล และเก่งมากในการทำให้คนอื่นเชื่อมั่นในตัวเอง”
“ตอนที่เขาแขวนสตั๊ดและมีเกมเทสติโมเนียล เขาขอให้ผมกับพ่อของเขาเป็นโค้ชคุมทีม ซโวลล์ แข่งกับทีมออลสตาร์จากตลอดเส้นทางค้าแข้งของเขา เห็นได้ชัดเลยว่าเขาจะกลายเป็นโค้ชในอนาคค”
“เขามักพูดถึง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และศึกษาการเล่นของ บาร์เซโลน่า ในยุคนั้นตลอดเวลา”
“เขาเริ่มคุมทีม ซโวลล์ U-14 และต้องการเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชุดใหญ่หลังเลิกเล่น แต่ผู้อำนวยการเทคนิคไม่อนุมัติ เขาเลยย้ายไปเป็นสตาฟฟ์ที่ คัมบูร์ ซึ่งทุกคนก็หลงใหลในตัวเขา ทั้งแท็คติกและการฝึกซ้อมที่เขาวางไว้ ที่ อาแซด(AZ) ก็เหมือนกัน”
เฮนดริกส์ ซึ่งเคยทำงานเป็นแมวมองให้กับ อูดิเนเซ่ ใน อิตาลี นาน 18 ปี ก่อนจะรับหน้าที่เดียวกันที่ ซโวลล์ เป็นผู้แนะนำให้นายหน้าคนดัง มิโน่ ไรโอล่า เข้ามาดูแล อาร์เน่อ ก่อนที่ ราฟาเอลา พิเมนตา จะเข้ามารับช่วงต่อหลัง ไรโอลา เสียชีวิตในปี 2022 และเป็นผู้เจรจาสัญญากับ ลิเวอร์พูล เมื่อเขาย้ายจาก เฟเยนูร์ด มาสืบทอดตำแหน่งต่อจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ในช่วงซัมเมอร์
“มิโน่ เป็นเพื่อนที่ดีของผม ผมเคยบอกเขาว่า -นายต้องดูแล อาร์เน่อ- พวกเขาทำงานร่วมกันสองสามปี แล้วตอนนี้ ราฟาเอลา ก็ดูแลเรื่องของ อาร์เน่อ ต่อ ทุกอย่างลงตัวดี”
“สิ่งที่ช่วยได้มากคือ คล็อปป์ เองก็พูดถึง อาร์เน่อ ในเชิงบวก และบอกแฟนบอลว่า -เชื่อใจเขาเถอะ เขาจะทำได้ดีแน่- ซึ่ง อาร์เน่อ ก็ให้ความเคารพต่อ คล็อปป์ มากเช่นกัน”
“โค้ชดัตช์ บางคนไม่ประสบความสำเร็จใน พรีเมียร์ลีก แต่จุดแข็งอย่างหนึ่งของ อาร์เน่อ คือ เขาสื่อสารได้ดีมาก ยิ่งกว่า เอริก เทน ฮาก หรือ หลุยส์ ฟาน กัล เสียอีก”
“เขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยม และอธิบายทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ทั้งนักเตะและนักข่าวเข้าใจหมด”
“คือถ้าพูดผิดแค่คำเดียว นักข่าวก็พร้อมจะขยี้เลยนะ! แต่ อาร์เน่อ เลี่ยงสิ่งนั้นมาได้ตลอด”
เฮนดริกส์ มองว่า ความจงรักภักดีเป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติเด่นของ อาร์เน่อ เขาเปิดบทสนทนาเก่า ๆ บน WhatsApp ให้ดู
“ผมส่งข้อความไปบอก อาร์เน่อ ว่า -ฉันจำได้เลยว่าฉันให้เธอลงเล่นครั้งแรกตอนอายุ 16 ฉันภูมิใจในตัวเธอมาก- อีกนาทีต่อมาเขาก็ตอบกลับว่า -ขอบคุณมากครับ เบน มันผ่านมานานแล้ว แต่ตรงนั้นแหละคือจุดเริ่มต้นของผม-“
“เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด”
โคดี้ กัคโป : ไอนด์โฮเฟน
ไอนด์โฮเฟ่น ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง…
การนั่งรถไฟจาก ซโวลล์ มาที่นี่ใช้เวลาสองชั่วโมง โดยวิ่งผ่านเมือง อูเทรคต์ ลงมาทางใต้ของ เนเธอร์แลนด์ เมืองนี้ทันสมัย มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยนวัตกรรมผสมความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้นกำเนิดของบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ฟิลิปส์
โดยมีพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวของบริษัทนี้ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านกาแฟที่ บาสเตียน รีเมอร์สม่า นั่งอยู่
เขาคือผู้ช่วยโค้ชของทีม เอฟซี ไฮนด์โฮเฟ่น ที่ปัจจุบันเล่นอยู่ในลีกรอง ตลอดอาชีพของเขา เขาทุ่มเทให้กับการพัฒนาเยาวชน เคยทำงานกับเด็ก ๆ ในอะคาเดมี่ พีเอสวี มาเกินกว่า 10 ปี ก่อนจะกลายเป็นผู้จัดการอะคาเดมี่ของ วิลเล่ม ทเว
และ รีเมอร์สม่า เคยเป็นโค้ชของ โคดี้ กัคโป ตั้งแต่ระดับเยาวชน U-9 ถึง U-11 ที่ พีเอสวี
“ผมรู้จัก โคดี้ ตั้งแต่เขาอายุ 7 ขวบ ตอนที่เรากำลังรับนักเตะใหม่เข้าทีม U-9” เขาเล่า
“ผมเคยผูกเชือกรองเท้าให้เขา เช็ดน้ำมูกให้ด้วย! เขาโดดเด่นมาก เพราะตัวใหญ่และแข็งแรงกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน ไม่ใช่แค่เรื่องสภาพร่างกายเท่านั้น เขายังมีเทคนิคและมองเกมได้ดี”
“เวลาเราไปเยือนสโมสรอื่น พอเดินทางมาถึง พวกเขาจะเดินมาหาผมแล้วถามว่า -วันนี้ โคดี้ ลงไหม?- พวกเขาหวังว่า กัคโป จะโดนดึงไปเล่นกับเด็กที่โตกว่า”
“เวลาเลี้ยงบอล ไม่มีใครแย่งเขาได้เลย ฝั่งตรงข้ามกลัวเขามาก ผมเคยบอก โคดี้ ว่า -จำไว้นะ พอไปอยู่ทีมชุดใหญ่แล้ว จะทำแบบนี้อีกไม่ได้ นายไม่ใช่ ลิโอเนล เมสซี่!- แล้วเขาก็จะตอบว่า -ดูไว้เลย ผมทำได้ในทีมชุดใหญ่แน่-“
“เขามีสมาธิและความมุ่งมั่นที่มากเป็นพิเศษ เขาซ้อมหนัก พัฒนาทักษะตัวเอง เขาชอบก้มหน้าแล้ววิ่งพาบอลไปเอง บางครั้งเราก็ต้องคุยกัน แล้วผมจะเตือนเขาว่าในสนามยังมีอีก 10 คน เขาเชื่อมั่นในตัวเองแต่ก็ยังถ่อมตัว ครอบครัวของเขาน่ารักและทำให้เขาไม่นอกลู่นอกทาง”
“เวลาไปแข่งทัวร์นาเมนต์นานาชาติ เจอกับทีมใหญ่อย่าง อังกฤษ หรือ สเปน โคดี้ มักเป็นตัวตัดสินเกม มันเหมือนงานเลี้ยงเลยเวลาได้ดูเขาเล่น มีทั้งประตูและแอสซิสต์สวย ๆ เต็มไปหมด”
เมื่อ กัคโป เติบโตขึ้นในระบบเยาวชนของ พีเอสวี เขาย้ายจากตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าไปยืนทางซ้าย การได้เห็นเขาฉายแสงในตำแหน่งนี้ภายใต้การคุมทีมของ อาร์เน่อ ทำให้ รีเมอร์ส มาย้อนนึกถึงความทรงจำดี ๆ
“ผมยังมีคลิปวิดีโอเยอะเลย ตอนที่ โคดี้ ยังเด็ก เลี้ยงตัดเข้าขวาแล้วยิงประตูแบบเดียวกับที่เขาทำให้ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้” เขายิ้ม
“อย่างกับ (อาร์เยน) ร็อบเบน เลยล่ะ จริง ๆ กองหลังรู้ว่า โคดี้ จะทำอะไร แต่ก็ยังหยุดเขาไม่ได้ เพราะเขาทั้งเร็วและแข็งแรง เขายิงแรงมาก เพราะแรงจากสะโพก มันยากสำหรับผู้รักษาประตู เพราะเขายิงได้ทั้งสองมุม”
“ตอน โคดี้ เปิดตัวกับทีมชุดใหญ่ พีเอสวี นัดเจอกับ เฟเยนูร์ด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ผมทำงานอยู่กับ วิลเล่ม ทเว แต่ผมก็อยู่ในสนามวันนั้นด้วย เขาแสดงให้เห็นอย่างรวดเร็วว่าเขาสำคัญกับทีมแค่ไหน เป็นพรสวรรค์ที่ชัดเจนเลยว่าไปได้ไกลแน่”
“นักเตะหลายคนรีบคว้าโอกาสแรกที่ได้เงินเยอะ แต่ โคดี้ ฉลาดพอที่จะรอจังหวะที่ใช่ ลิเวอร์พูล เหมาะกับเขามาก”
“เขาต้องใช้เวลาปรับตัวกับความเข้มข้นของเกมสไตล์ อังกฤษ แต่เขาก็เข้ากับสไตล์การเล่นของ อาร์เน่อ ได้ดีมาก ๆ”
กัคโป ที่เติบโตในย่าน สตราทัม ย้ายจาก พีเอสวี ด้วยค่าตัว 44 ล้านปอนด์ในเดือนมกราคม 2023 แต่การต้อนรับที่เขาได้ เมื่อกลับมาเยือนสนาม ฟิลิปส์ สตาดิโอน ในฐานะนักเตะ ลิเวอร์พูล นั้น แสดงให้เห็นว่าเขายังคงเป็นที่รักของคนเมืองนี้แค่ไหน
“อะคาเดมี่ พีเอสวี รับเด็กจากทั่วประเทศ แต่สิ่งที่ทำให้ โคดี้ ต่างออกไปคือ เขาเป็นหนึ่งในคนแรกที่เกิดใน ไอนด์โฮเฟน และก้าวขึ้นมาจากระบบด้วยคุณภาพขนาดนี้”
“แฟนบอลมีร้องเพลงเกี่ยวกับ โคดี้ เพราะเขาโตที่นี่จริง ๆ แร็ปเปอร์ท้องถิ่นยังอยากทำเพลงกับเขาเลย เขาเป็นที่รัก เพราะบุคลิกของตัวเอง เขายังพูดถึงสโมสรและเมืองนี้อยู่เสมอ ผมเจอพ่อของเขาและคนในครอบครัวบ่อย ๆ”
“ใน เนเธอร์แลนด์ เรามีรายการทีวีเกี่ยวกับฟุตบอลเยอะมาก และ ลิเวอร์พูล ก็ถูกพูดถึงบ่อย คุณอาจต้องย้อนกลับไปถึงยุคของ (แพทริก) ไคลเวิร์ต, (ฟิลลิป) โคคู, (โบโล่) เซนเด้น, (มาร์ค) โอเวอร์มาร์ส และพี่น้อง เดอ บัวร์ (แฟรงก์ และ โรนัลด์) ที่ บาร์เซโลนา ถึงจะเจอช่วงที่นักเตะดัตช์ ที่มีอิทธิพลสูงกับทีมระดับยุโรปแบบนี้”
“สิ่งที่เกิดขึ้นที่ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ จึงสำคัญกับวงการฟุตบอลดัตช์ มาก เพราะนักเตะดัตช์ กำลังไปได้สวย”
ทั้งหมดนี้ยังโยงไปสู่ประเด็นใหญ่กว่านั้น คือเรื่องการพัฒนาเยาวชนและโค้ชในประเทศที่มีประชากรราว 18 ล้านคน และเคยภาคภูมิใจกับการที่สามารถผลิตนักเตะระดับโลกได้อย่างต่อเนื่อง
“ตอนนี้เราไม่มีนักเตะระดับท็อปในยุโรปมากนัก” รีเมอร์สม่า กล่าว
“เรารอผู้เล่นรุ่นใหม่ที่อยู่ในระดับเดียวกับ รุด ฟาน นิสเตลรอย, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ และ ร็อบเบน”
“เมื่อวันหนึ่งที่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เลิกเล่น สิ่งที่น่ากลัวคือ ช่องว่างอาจจะใหญ่มาก นี่เป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันมากในหมู่โค้ชเยาวชนและหัวหน้าอะคาเดมี่”
“เราควรเปลี่ยนอะไรเพื่อยกระดับขึ้น หรือจะต้องรอคนรุ่นใหม่ที่เก่งขึ้นมาอีก?”
“มันซับซ้อน ทุกคนรู้ดีว่าเด็ก ๆ สมัยนี้ไม่ค่อยเล่นฟุตบอลกันตามถนนเหมือนเมื่อก่อน ทุกคนในโลกพูดว่า เนเธอร์แลนด์ สร้างนักเตะเก่ง ๆ ได้มากมายทั้งที่เป็นประเทศเล็ก”
“แต่ช่วง 10 ปีหลัง มันกลายเป็นปัญหา นั่นแหละคือเหตุผลที่คนดัตช์ ภูมิใจเมื่อเห็น เฟอร์จิล, โคดี้ และ ไรอัน ทำผลงานได้ดีขนาดนี้”
“เรื่องโค้ชก็เหมือนกัน โค้ชชาวดัตช์หลายคนไม่ประสบความสำเร็จในอังกฤษ แต่ อาร์เน่อ กลับทำได้ ไม่ใช่แค่เขามีความรู้ด้านแทคติกเท่านั้น แต่เขายังรู้จักปรับตัวและสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนได้ดี”
“ที่ เฟเยนูร์ด นักเตะพูดถึงตัวเขาในฐานะ -มนุษย์-ไม่ใช่แค่ -โค้ช-“
เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ : เบรด้า
“ดูรูป เฟอร์จิล ตอนที่พวกเราได้แชมป์สิ” ริค ไคลน์ กล่าว
“ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันผ่านมา 23 ปีแล้ว ตอนนั้นคือฤดูกาล 2001/02 เฟอร์จิล อายุแค่ 10 ขวบเอง ผมเป็นหัวหน้าทีมร่วมกับ รอน พ่อของเขา ส่วนลูกชายของผม เควิน ก็อยู่ในทีมเดียวกัน”
“ทั้งฤดูกาล เราเสียแค่ลูกเดียว เฟอร์จิล ตอนนั้นเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็กแล้ว เขาสูงกว่าใคร แข็งแรงกว่าเด็กคนอื่น ๆ เขามีความนิ่งในสนาม รู้ตำแหน่งดีมาก ผมยังจำได้ว่าเวลาเราบุก เขาจะดันขึ้นหน้าด้วย”
“บุคลิกของเขาในตอนนั้นก็เหมือนกับตอนนี้เลย มีความถ่อมตัว มุ่งมั่น และมีหัวจิตหัวใจของผู้ชนะ”
สโมสรสมัครเล่น WDS’19 คือจุดเริ่มต้นของ ฟาน ไดค์
เขาเติบโตในย่าน ฮากเซ่ บีมเด้น ในเมืองเบรด้า ซึ่งอยู่ห่างจาก ไอนด์โฮเฟ่น ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือโดยรถไฟประมาณ 40 นาที
เมืองนี้เงียบสงบ ถนนปูด้วยหินและมีคลองสวย ๆ ให้บรรยากาศอบอุ่นน่าอยู่
ช่วงเวลาของเขากับสีเสื้อฟ้าขาว WDS’19 จบลงเมื่อเขาไปเตะตาแมวมองของสโมสรอาชีพ วิลเล่ม ทเว ที่อยู่ในเมืองทิลเบิร์ก ที่ห่างจาก เบรด้า ประมาณ 30 กิโลเมตร
แต่ทุกครั้งที่นักเตะรุ่นใหม่ของสโมสร WDS’19 ลงสนาม พวกเขายังได้รับการเตือนใจว่า กัปตันทีมลิเวอร์พูล ในวันนี้ เคยเหยียบย่ำสนามหญ้านี้มาก่อน
ภาพของฟาน ไดค์ คู่กับ บาร์ต แฟร์บรุกเกน ผู้รักษาประตู ไบรท์ตัน ซึ่งก็เคยเล่นให้กับสโมสรนี้เช่นกัน ถูกแขวนอยู่บนแบนเนอร์ขนาดใหญ่ที่ริมรั้วสนาม พร้อมข้อความว่า
“Word lid van WDS’19 ook wij begonnen hier”
“มาเป็นสมาชิกของ WDS’19 พวกเราก็เริ่มต้นจากที่นี่เช่นกัน”
“ผมมีลูกชายสามคนที่เคยเล่นให้ WDS’19 แต่ตอนนี้โตกันหมดแล้ว ผมก็เลยไม่ได้มีส่วนร่วมกับสโมสรอีก” ไคลนน์ วัย 63 ปี ซึ่งประกอบธุรกิจพื้นและเครื่องทำความร้อนอินฟราเรด เล่า
“ตอนนี้สโมสรมีสมาชิกประมาณ 400 คน และยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก็น่ายินดีมาก”
“เฟอร์จิล น่าจะอายุประมาณ 11 ขวบ ตอนที่ วิลเล่ม ทเว มาเจอ พวกเขาส่งแมวมองมาดูเกมของเรา เป็นคน เบรด้า โดยกำเนิด ผมก็เคยหวังว่าเขาจะได้เล่นให้ เอ็นเอซี เบรด้า นะ แม้มันไม่เกิดขึ้น แต่เขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ แถวนี้ มันแสดงให้เห็นว่าอะไรก็เป็นไปได้”
“เขายังมีครอบครัวอยู่ที่ เบรด้า และราว ๆ หนึ่งปีก่อน เขาก็กลับมาเปิดสนาม ครัฟฟ์ คอร์ต ให้เด็ก ๆ ได้ใช้ฝึกฟุตบอล เขาเป็นแบบอย่างที่ดีจริง ๆ”
แม้วันนี้ ฟาน ไดค์ จะเป็นหนึ่งในเซ็นเตอร์แบ็กที่ดีที่สุดในยุคนี้ แต่เส้นทางสู่จุดสูงสุดไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
เขาย้ายออกจาก วิลเล่ม ทเว แบบไร้ค่าตัวในวัย 18 ปี โดยไม่เคยลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่เลย แล้วไปร่วมทัพ โกรนิงเก้น ที่อยู่ไกลออกไปทางตอนเหนือของ เนเธอร์แลนด์ ถึง 250 กิโลเมตร
คำถามคือ ทำไมถึงหลุดรอดจากระบบไปได้ ?
บาสเตียน รีเมอร์สมา ผู้เคยทำงานกับอะคาเดมี่ ของทั้ง พีเอสวี และ วิลเล่ม ทเว มีคำตอบ
“ตอนผมรู้จักเขา เขาอยู่ในช่วงเวลาท้าย ๆ ของอะคาเดมี่ วิลเล่ม ทเว แล้ว อายุ 16 หรือ 17 เล่นให้กับทีมสำรอง” เขาเล่า
“เขาไม่เคยเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดเลย เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มธรรมดา ๆ สโมสรไม่คิดว่าเขาจะดีพอสำหรับทีมชุดใหญ่ พวกเขาต้องสู้หนีตกชั้นอยู่ตลอด และมักเลือกนักเตะที่มีประสบการณ์มากกว่าจะให้โอกาสเด็ก ๆ”
“มันก็เหมือนกับตอนที่ เฟรงกี้ เดอ ยอง ย้ายจาก วิลเล่ม ทเว ไป อาแจ็กซ์ ในปี 2015 แล้วต่อมาก็ไป บาร์เซโล่า ในปี 2019 ด้วยค่าตัวถึง 75 ล้านยูโร ตอนนั้นพวกเขาคิดว่า เฟรงกี้ ตัวเล็กเกินไป และเล่นบอลชายเดี่ยวมากเกิน”
“เป็นเรื่องง่ายที่จะพูดถึงความผิดพลาดในอดีต แต่บางคนก็แค่ต้องการเส้นทางที่ต่างออกไป เฟอร์จิล พัฒนาช้ากว่าคนอื่น ต้องใช้เวลามากกว่า เขาค่อย ๆ เติบโตเป็นขั้น ๆ แล้ว โกรนิงเก้น ก็มาพาเขาไป ที่เหลือจากนั้นก็เลยกลายเป็นประวัติศาสตร์”
“วิลเล่ม ทเว ไม่เคยเห็นเขาเป็นผู้เล่นพรสวรรค์สูงเลย แต่ตอนนี้ลองดูเขาสิ”
จาก โกรนิงเก้น ไป เซลติก จาก เซลติก ไป เซาธ์แฮมป์ตัน และสุดท้ายเป็น ลิเวอร์พูล ที่ทุ่มเงิน 75 ล้านปอนด์ตอนช่วงกลางฤดูกาล 2017/18 จนกลายเป็นกองหลังที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกในขณะนั้น แล้วเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่า คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์
ฟาน ไดค์ เป็นหัวใจหลักของทีมลิเวอร์พูล ชุดแชมป์ พรีเมียร์ลีก ทั้ง 2 ครั้งในช่วงเวลา 5 ปี
เขาเป็นคนดัตช์คนแรกในประวัติศาสตร์ที่จะได้ชูโทรฟี่ พรีเมียร์ลีก
ไคลน์ ภาคภูมิใจเสมอที่ได้เห็นเด็กหนุ่มจาก เบรด้า ไปไกลถึงขนาดนี้
“ตอน เฟอร์จิล เล่นอยู่ที่ เซลติก ผมเคยบอกเพื่อน ๆ ว่า เขาจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดและติดทีมชาติให้ได้แน่นอน”
“แต่หลายคนก็ไม่เชื่อ ซึ่งสุดท้าย เขาก็พิสูจน์ว่าผมคิดถูก เขาไม่ได้เป็นแค่กองหลังระดับท็อป แต่ยังเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมด้วย”
“เขาเป็นตัวอย่างที่ดีในการรับมือกับความลำบาก โดยเฉพาะหลังจากอาการบาดเจ็บรุนแรงตรงหัวเข่าเมื่อเดือนตุลาคม 2020 เขากลับมาเล่นได้ในระดับสูงอีกครั้ง แถมยังมีวินัยและความเป็นมืออาชีพไม่เคยเปลี่ยน”
“มันเป็นเรื่องนานมาแล้วก็จริง แต่ผมก็ภูมิใจที่เคยเป็นโค้ชของ เฟอร์จิล ทุกความสำเร็จต้องยกให้เขาทั้งหมด”
“สิ่งที่ผมชอบที่สุดเมื่อได้ฟังเขาพูด ก็คือเขายังเป็นคนแบบเดิมไม่เปลี่ยนเลย”
“ตั้งแต่ อาร์เน่อ เข้ามาคุมทีม เฟอร์จิล ก็ยกระดับไปอีกขั้น เล่นเกมรับเชิงรุกมากขึ้น ดันสูงมากขึ้น นักเตะดัตช์ในทีม ลิเวอร์พูล ชุดนี้ ทำงานร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ”
HOSSALONSO
,